ว้ากเนอร์เป็นบุคคลที่ผู้คนยกให้เป็นผู้นำในยุคที่ดนตรีสำนวนเยอรมันมีอิทธิพลครอบคลุมอย่างมาก
คีตกวีหลายคนพยายามหาความเป็นตัวของตัวเองขณะที่เดินไปในแนวทางอันล้ำยุคที่ว้ากเน่อร์นำไป
ในผลงานชิ้นหลังๆ ว้ากเนอร์ได้ทำให้ความเป็น tonality ของดนตรีค่อยๆเลือนลางลง
อิทธิพลของว้ากเน่อร์ที่มีต่อคีตกวีคนอื่นที่ตามสมัยมาติดๆคือ กลุ่มของเยอรมัน
ริชาร์ดสเตร้าซ์ บรุคเนอร์ และ มาร์เล่อห์ จนถึงโชนเบิร์ก หรือ แบร์ก (โดยโชนเบิร์กได้นำ
harmony ของอุปรากร Tristan ไปสอดใส่ในผลงานยุคแรก) ว้ากเนอร์ ผู้ประพันธ์โอเปร่าเยอรมันชั้นนำในยุคโรแมนติค
ในด้านรูปแบบงานประพันธ์ เขาเปรียบเหมือนกับเวอร์ดี้ของอิตาลี หรือเหมือนมีเยอแบร์ผู้โดดเด่นใน
Grand opera ต่างที่โอเปร่าของว้ากเน่อร์มีความยาวถึง 3-5 ชั่วโมงเป็นส่วนใหญ่
เนื้อหาเพิ่มขึ้นเท่าตัว หากจะเปรียบเทียบในด้านองค์ประกอบรวมของดนตรีของเขา
ว้ากเน่อร์เทียบเหมือนกับแบร์ลิโอซผู้สร้างดนตรีแห่งเรื่องราวและบรรยากาศ และมีจุดร่วมเดียวกันที่พยายามจะแก้ปมของ
symphonic และ dramatic เข้าไว้ด้วยกัน การที่จะทำให้บทเพลงออกมา dramatic
สะเทือนอารมณ์ จะต้องมีการจัดวางสัดส่วนของความแตกต่าง ให้สอดประสานกันในเวลาที่พอเหมาะ
เขาเป็นผู้บุกเบิกได้พยายามทำให้โอเปร่ามีลักษณะที่หลุดพ้นจากความรู้สึกที่เป็นสิ่งเทียม
(artificial)
องค์ประกอบทางของดนตรีของว้ากเน่อร์
Music drama ว้ากเนอร์ได้ให้นิยามคำศัพท์คำนี้ขึ้นมา
( ซึ่งหลายคนอาจไม่นับว่านี่เป็น form ชนิดใหม่หรือประเภทของสื่อทางดนตรีสิ่งใหม่ๆ
) ความเห็นของเขาคือดนตรีมีหน้าที่รับใช้บทละคร ผลงานสำคัญๆของเขามีไว้เพื่อใช้ในโรงโอเปร่าแห่งเบรุตที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับงานของตนเองโดยเฉพาะ
เขามีมุมมองที่กว้างไกลไปถึงด้านวรรณกรรม การละคร การเมือง และประเด็นด้านศีลธรรมสอดใส่ในงานของเขา
เนื้อหาของโอเปร่า พื้นหลังของผลงานจะเป็นดุจตำนานในยุคกลาง (Mediaval) อภินิหารและความเชื่อเหนือธรรมชาติ
เขาเชื่อในความเป็นเอกภาพของดนตรีและละคร ซึ่งทั้ง 2อย่างสามารถใช้เชื่อมโยงความคิดเพียงหนึ่งเดียว
อันต่างไปจากแนวคิดของโอเปร่าทั่วไป ที่ให้เพลงร้องเป็นตัวมีอิทธิพลครอบคลุม และให้
libretto ประกอบกันเป็นตัวเค้าโครงรับใช้ทางดนตรี ดนตรีมีหลายรูปแบบ เช่น เป็น
chromatic harmony , counterpoint และ chorus แนวร้อง (vocal line) เป็นส่วนประกอบอยู่ในพื้นผิว
(texture) ไม่ใช่เป็นลักษณะ aria ลอยตัวโดยมีดนตรีบรรเลงประกอบหลัง (background)
เหมือนอย่างแต่ก่อน ไม่มีการจำแนก aria และ recitative อีกต่อไป
ทุกองค์ประกอบใดๆทั้งบทกวี ศิลปะการออกแบบฉาก ออกแบบเวที ท่าทางการเคลื่อนไหว ทั้งหมดต้องประสานเป็นหนึ่ง
theme ที่ใช้ในงานนั้นแตกต่างจาก motif ตรงที่ theme มีสัดส่วนที่ขยายออกกว้างขวางซับซ้อนกว่า
ซึ่งสองคำนี้อาจพูดรวมเป็นหนึ่งเดียวได้
motif และ theme จะปรากฏในรูปพื้นฐานเบื้องต้น (primary forms) เพื่อสานกันเป็นโครงหลัก
และจากนั้นจะดัดแปลงเปลี่ยนรูปตนเองในลักษณะ transformation หรือ variations (กลายเป็น
subsequent forms) ซึ่งอาจจะมีซ้อนกันหลายขั้นเป็นลักษณะ secondary variations
แต่ละ motif ใช้ material เดียวกันแต่สร้างอารมณ์แห่งความความประทับใจขึ้นมาหลายแบบ
และแต่ละแบบมีสถานะเท่าๆกัน นำเสนอสิ่งที่มันระบุออกมาเพียงอย่างเดียว บทบาทความคิดเดียว
แต่มันอาจเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ด้านบทบาทหนึ่งๆที่ตัวละครนั้นได้เข้าไปเกี่ยวข้อง
เราสามารถระบุถึงสถานการณ์และบทบาทที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง theme และ leitmotif เหล่านั้นได้
Motif และ leitmotif ของว้ากเน่อร์มักแสดงความรู้สึกและแนวโน้มของเสียงที่ไม่จบ
ไม่มีจุดสิ้นสุดและจุดเริ่ม ความรู้สึกแขวนลอยอยู่อย่างอิสระ และ สามารถสร้างแนวทำนองอื่นที่ใช้โครงสร้างลอยๆมาก่อนหน้า
ล้อมหลังได้โดยส่วนที่อยู่เดิมก็ฟังเข้ากันได้ไม่แปลกปลอม นั่นเป็นเพราะเขาหันเหออกจากแรงโน้มถ่วงของบันไดเสียง
และออกจากจุดศูนย์ถ่วง หรือจุดศูนย์รวมต้นกำเนิดของขั้นบันไดเสียง ในประโยคสั้นๆประโยคหนึ่งของว้ากเน่อร์
บางช่วงประโยคอาจฟังอยู่ในบันไดเสียงอื่น ซึ่งบางทีก็ไม่สามารถระบุลงไปได้ เพราะมีการใช้
cadence ขนาดสั้นรูปแบบอันไม่ปกติรองรับ motive โดยไม่ยอมให้ปรากฏซ้ำๆอย่างเจาะจงว่าเป็นของบันไดเสียงใดในช่วงนั้น
ดนตรีมีลักษณะเลื่อนไหลต่อกันไปไม่หยุด ไม่มีรอยต่อให้ได้สังเกตว่ามีการเปลี่ยนกระบวน
ส่วน chorus ซึ่งคุณภาพเยี่ยมนั้นประพันธ์ขึ้นสลับกับแนวร้องเดี่ยว และพื้นหลังเป็นภาคบรรเลงขนาดยาว
ว้ากเนอร์ใช้ tonality ช่วยจัดการทั้งด้านเดินเรื่องละครและด้านดนตรี
ตัวละครแต่ละตัวจะมีบันไดเสียงเฉพาะตัวที่เกี่ยวโยงซึ่งกันทางใดทางหนึ่ง ละครทั้งเรื่องจะมีฐานอยู่บนบันไดเสียงหนึ่ง
และมักจะย้ายไปสู่คีย์ที่สัมพันธ์กันเป็น mediant (ขั้นคู่ 3)
ในด้าน harmony การจัดวางช่วงเสียง (space) ให้วงของของเขานั้นมักจะเต็มแน่นใน
orchestration การหน่วงคอร์ด (sustained chord) ให้อยู่นานที่สุดเท่าที่ความกล้าของเขาจะนำไป
และ เคลื่อนเข้าสู่คอร์ดต่อไปซึ่งมีความสัมพันธ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ซึ่งเขาเคยเปิดเผยว่าพัฒนาการมาจาก
key plans ในซิมโฟนีของ ไฮเดิ้น, โมสาร์ท และ เบโธเฟ่น ยังไงก็ตามการหน่วงเหนี่ยวที่จะเปลี่ยนคอร์ดไปเรื่อยนี้จะสะสมแรงเครียด
เพื่อการเกลาลงครั้งสุดท้ายจะเต็มไปด้วยพลังมากที่สุด เป็นเทคนิคที่เรียกว่า inner
expansion
ว้ากเน่อร์พยายามหลีกเลี่ยงช่วงที่มีเสถียรภาพของการหยุดนิ่งในบันไดเสียงเดียว
(stable key)ที่ยาวนานพอจะตัดสินให้เป็นบันไดเสียงหนึ่งๆได้นั้น ซึ่งการที่แนวทำนองเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ระยะทางของขั้นคู่
3 minor , 5 diminished , 7 diminished (และขั้นคู่ enharmonic ตรงข้าม) หรือการแล่นทำนองที่อยู่ภายใต้เค้าโครงคอร์ด
diminished seventh ซึ่งจะทำให้ทำนองอยู่ในภาวะอิสระ และไม่มีแรงดึงกลับมาสู่ tonic
เป็นวิธีหนึ่งที่จะเชื่อมต่อผลงานของเขาให้ยาวออกไปได้โดยไม่มีขีดจำกัด เพราะไม่ต้องเดินไปตามเส้นทางที่มีการกำกับควบคุมด้วยกฏแห่งการ
modulation เดิมๆ ซึ่งมีทางเลือกที่โดนกำหนดไว้ อันนับว่าจำกัดอิสระเกินไปสำหรับเขา
ในผลงานส่วนใหญ่จะเห็นการเชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์แบบของ chromatic chord และความรู้สึกที่ได้ยินการเกยกันของกลุ่มเสียง
การสอดทับกันของ harmony ที่ร่วมกับการเลื่อน key ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
การชักจูงผู้ฟังเข้าถึงรายละเอียด และการเกลาสำนวนเพลง สิ่งที่ว้ากเน่อร์ชอบใช้คือความไม่ชัดเจนของ
progressions การดำเนินของคอร์ด ซึ่งถูกสร้างขึ้นให้รู้สึกโดย suspensions และโน้ตนอกการประสานที่ไม่เข้าพวก
(Other nonharmonic tones) ซึ่งเป็นการพัฒนาตั้งแต่ปี 1890 สร้างเป็นบรรยากาศแห่งสำนวนนิยายขึ้นมา
บรรยากาศที่คลุมเครือไม่ชัดแจ้ง ที่ทำให้ดนตรีกับการประสานดำเนินไปได้เรื่อยๆ
ลักษณะของสำนวน chromatic ที่ได้รับจากลิสท์โดยเฉพาะงานพวก
Symphonic poem ส่งผลกับงานของเขา harmony ของว้ากเน่อร์ช่วงหลังๆ เช่น
เรื่อง Tristan and Isolde และ Parsifal จุดเด่นที่เป็นสไตล์ของว้ากเน่อร์ถูกแสดงเด่นชัด
การใช้ continuous melody (Endless melody) การใช้ leitmotif ช่วยและวงที่บรรเลงต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
ประโยคเพลงต่างๆดำรงลักษณะของ unforgettable beauty ขณะที่ voice ร้องเป็นอิสระ
เป็น arioso lines มากกว่าจะเป็น balanced phrases ของ aria ตามแบบแผน
Chromatic alteration นับเป็นวิธีการที่โน้ตบางตัวใน chord
ก่อนหน้าเปลี่ยนตัวสะกดเพื่อรับบทบาทหน้าที่ใหม่ใน chord ต่อไป เขาใช้เป็นหลักในการสอดประสาน
โน้ตที่ตกค้างมาจาก chord และ การประสานในช่วงก่อนหน้านั้น ในรูปแบบของ chromatic
passing note หรือในรูปแบบของ suspension จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อ ความรู้สึกที่เกยทับกันและมีความผันผวน
มันอาจจะฟังกลืนเข้าไปใน chord ต่อไปหรือได้ยินเป็นเสียงกระด้างที่จะได้รับการเกลาในเวลาต่อมา
บางครั้งอาจจะเลยไปหลาย chord ข้างหน้า ยังไงก็ดีในหลักเดิม การเคลื่อนตัวของการประสาน
( harmonic forward movement ) จะถูกพิจารณาด้วยโน้ตที่เป็นฐานล่างของการดำเนิน
chord (root progression)
แต่ในยุคนี้ จะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไปทีละครึ่งเสียง (semitonal motion) ก็นับเป็นความหมายที่แท้จริง
ของความเชื่อมโยงระหว่าง chord และสำหรับว้ากเน่อร์การข้องเกี่ยวกันระหว่าง
chord ที่เป็นความสัมพันธ์ครึ่งเสียงก็เป็นสิ่งจำเป็นกว่า root progression แท้ๆ
ในบางบทเพลงนั้น motif ที่เคลื่อนไหวเป็น semitone ก็สร้างการเชื่อมต่อระหว่าง
chord โดยไม่มีการสนับสนุนจากแนว bass ร่วมด้วยเลย การสอดใส่โน้ต chromatic โดยอิสระนั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการสร้างความสืบเนื่องเกียวข้องของ
harmony และ counterpoint และ counterpoint ของว้ากเน่อร์นั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของ
harmonic association แต่มันสร้างตัวขึ้นมาจากตัวมันเอง
ในด้าน Character ของดนตรีที่เขาได้แสดงออกมาอย่างน่าตื่นใจ
คือการเปลี่ยนกลับของบรรยากาศและอารมณ์ในนาทีสุดท้ายของผลงาน เป็นพัฒนาการที่สำคัญนับตั้งแต่ยุคของเบโธเฟ่น
ผลงาน opera ของ Wagner
Der fliegende Hollander (The flying Dutchman) ด้วยโครงเรื่องที่โด่งดัง
ชายผู้หนึ่งต้องคำสาปให้ล่องเรือไปเรื่อยจนกว่าจะพบคนที่รักเขา
Lohengrin ใช้ลักษณะของสัญลักษณ์ (symbolic) ซึ่งภาคดนตรีมีการใช้วงออร์เครสตร้าขนาดใหญ่และบรรเลงอย่างอลังการมากกว่า
Tannhauser
Der Ring des Nibelungen เป็น 4 เรื่องใหญ่ พอๆกับที่จะเป็นซิมโฟนี
4 บท เขาเป็นคนเขียน poem ของ cycle นี้เอง งานเต็มไปด้วย theme ประจำบุคลิกของตัวละครที่ใช้เดินเรื่องอันมากมาย
เกือบทุกประโยค และแต่ละ motif ที่เกิดขึ้นก็มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน
Parsifal ผลงานชิ้นนี้ มีการรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ความสอดคล้องซึ่งกันและกันทั้งเนื้อหาและ
form โดดเด่นรองลงไป (อย่างหนึ่งที่เปรียบเทียบให้เห็นได้คือ Tannhauser จะเป็น
unity เกี่ยวเนื่องกลมกลืนมากกว่า )
เราจะเห็นอิทธิพลมากมายของ leitmotifs ซึ่งถูกนำมาใช้อย่างร่าเริงช่วยขยายความไหลเลื่อนแห่งแรงบันดาลใจ
เป็นความเข้มข้นแห่งอารมณ์ที่ไม่มีจุดชะงัก
Tannhauser Rienzi แนวของ voice จะมีพลังและแรงจูงใจในการฟังเป็นพิเศษ
และงานโดยรวมจะเต็มไปด้วยพลังอันมากล้น ซึ่งค่อยๆขยายตัวออกมา
(รายละเอียดของการค้นคว้าตั้งแต่บทความผลงานนี้ไปจนจบจำนวน 13 เรื่อง และการเรียบเรียงพิมพ์บทสัมมนา
จัดทำโดย อ. อัสนี อุดมทัศนีย์ เพื่อใช้ในการศึกษา)